ความแตกต่างของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน
1. ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ กล่าวคือ ในกฎหมายมหาชน องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชน ตัวบุคคลที่เข้าไปทำนิติสัมพันธ์คือเอกชนกับเอกชน
2. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (BUT) กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณะประโยชน์และการให้บริการสาธารณะโดยไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่ง–หมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน แต่บางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้น เอกชนก็อาจทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณประโยชน์
3. ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กล่าวคือ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งออกมาเป็นรูปคำสั่ง หรือข้อห้ามที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่งสามารถกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ (พระราชบัญญัติ เป็นต้น)
ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนา ความเสมอ–ภาค และเสรีภาพในการทำสัญญา คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจไม่ได้
4. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี กล่าวคือ แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนจะแตกต่างกัน นิติวิธีของกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักของกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง
ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกชนนั้น จะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและมุ่งรักษา–ประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน
5. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา กล่าวคือ นิติปรัชญากฎหมายมหาชนนั้น มุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และอยู่บนเสรีภาพความสมัครใจของคู่กรณี
6. ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล กล่าวคือ ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษ ได้แก่ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาตามกฎหมายเอกชนนั้น ขึ้นศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา